เช็คอาการลำไส้ใหญ่ จุลินทรีย์ตัวร้ายเกินสมดุล



#firstthaintp

โดย เอื้อมพร แสงสุวรรณ NTP

จุลินทรีย์ในลำไส้เป็นเรื่องที่ทุกคนในแวดวงสุขภาพให้ความสำคัญ เนื่องจากการค้นพบทางวิทยาศาสตร์สุขภาพในยุคนี้ รู้แล้วว่า สาเหตุที่แท้จริงของมนุษย์เรา มาจากความไม่สมดุลของปริมาณจุลินทรีย์ เอื้อมเลยชวนมาเช็คอาการลำไส้ใหญ่ ดูว่าจุลินทรีย์ตัวร้ายเกินสมดุลไหม

โลกยุคนี้ คนรักสุขภาพทุกคนต้องรู้จักเรื่องจุลินทรีย์ในลำไส้ มิเช่นนั้น นอกจากจะเอ้าท์ ยังจะเป็นการเพิกเฉยต่อ root cause หรือต้นเหตุที่แท้จริงของโรค หรืออาการผิดปกติของตนเอง จนกลายเป็นว่ายิ่งรักษา ก็ยิ่งมีอาการหนักขึ้นเรื่อยๆ

จุลินทรีย์ในลำไส้สัมพันธ์กับชีวิตมนุษย์ในยุคที่ผ่านมา สัก 10 -20 ปี ซึ่งเรามีความรู้เรื่องสุขภาพเพิ่มขึ้นนิดหน่อย เรารู้ว่าเราสามารถวินิจฉัยและรักษาความป่วยไข้ของตนเองเบื้องต้นได้ โดยการดูแลตัวเองด้วยยาสามัญประจำบ้าน

โดยต่อมาก็เลยเถิดไปสู่การซื้อยารักษาโรคสารพัดสิ่งอย่างจากร้านขายยามากินเอง ไม่ว่าจะเป็นยาแก้ปวด ยาแก้อักเสบ ยาลดกรดในกระเพาะอาหาร

นอกจากนี้ ช่วงหลังก็เกิดความนิยม การกินอาหารเสริม เพื่อลดอาการบางอย่าง หรือเพิ่มประสิทธิภาพระบบอวัยวะบางอย่าง กลายเป็นว่า เราสามารถหาซื้ออาหารเสริมมากินเอง และอาหารเสริมบางอย่างมีฤทธิ์เหมือนยา กินติดต่อกันไม่เกินสัปดาห์ อาการที่เป็นก็หายวับ ครั้นเราเห็นผลดี ก็เลยซื้อมากินบ่อย ๆ ผลลัพธ์ที่ตามมา นอกจากได้รับสารอาหารบางอย่างมากเกินไป ซึ่งจะกลายเป็นพิษ ไปทำลายสารอาหารอื่นที่ทำงานด้วยกัน เรายังได้สารสังเคราะห์เข้ามาในร่างกายมากมาย โดยเฉพาะอาหารเสริมเหล่านั้นสกัดจากสารสังเคราะห์ แน่นอน…สภาวะร่างกายที่มีสารอาหารสังเคราะห์บางอย่างมากเกินไป ย่อมทำให้ระบบอวัยวะทำงานไม่ปกติ การจัดการสภาวะความไม่สมดุลของจุลินทรีย์ย่อมไม่มีประสิทธิภาพ

จุลินทรีย์หรือmicrobes คือ สิ่งมีชีวิตเล็ก ๆ ที่อยู่ในร่างกายของเรา โดยเฉพาะในลำไส้เล็กและลำไส้ใหญ่ ครอบคลุมทั้งเชื้อจุลินทรีย์ เชื้อโรค เชื้อแบคทีเรีย เชื้อพยาธิ เชื้อรา ทั้งนี้ร่างกายเราประกอบด้วยจุลินทรีย์ทั้งที่เป็นมิตรกับร่างกาย และทั้งที่เป็นศัตรูต่อร่างกาย ว่าแล้ว เรามาเช็คอาการใกล้ตัว ที่สะท้อนว่าจุลินทรีย์ในลำไส้ไม่สมดุลกันดีกว่า

CHECK YOUR LIFESTYLE

  1. กินยาแก้อักเสบ

    หมายความถึงยาปฏิชีวนะ ยาแอนตี้ไบโอติก ซึ่งยาประเภทนี้ นอกจากจะไปหยุดกระบวนการต้านการอักเสบของไขมันดีในผนังเซลล์แล้ว ยังฆ่าทำลายสิ่งมีชีวิตเล็ก ๆ ทุกประเภทที่อาศัยอยู่ในช่องท้องของเรา รวมทั้งจุลินทรีย์ตัวดี ที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย ทั้งนี้ยาแก้อักเสบจะส่งผลต่อความไม่สมดุลของจุลินทรีย์ในลำไส้นานถึง6 เดือน


  2. ได้รับท็อกซินจากโลหะหนัก

    ทั้งที่มาจากยากำจัดศัตรูพืช ที่ปนเปื้อนอยู่ในพืชผักผลไม้ และสารปรอท ตะกั่ว รวมทั้งโลหะหนักชนิดอื่น ๆ ที่ปนเปื้อนอยู่ในปลาทะเลน้ำตื้น ซึ่งจับมาจากน่านน้ำที่มีมลพิษ ท็อกซินจากโลหะหนักเหล่านี้ จะไปรบกวนการทำงานของระบบควบคุมความสมดุลของจุลินทรีย์ในลำไส้ของเรา


  3. อยากกินของหวานหรือแป้ง

    เนื่องจากจุลินทรีย์ตัวร้ายในลำไส้กินน้ำตาลเป็นอาหาร ทั้งนี้นำตาลดังกล่าวย่อยมาจากแป้งและของหวานต่าง ๆ รวมทั้งผลไม้หวาน โดยหากจุลินทรีย์ตัวร้ายที่อยู่ในช่องท้องเรามีปริมาณมาก พวกมันจะส่งสัญญาณไปยังสมอง ให้มีความอยากกินอาหารประเภทแป้งและของหวาน

CHECK YOUR SYMPTOMS

  1. อาการที่เกี่ยวข้องกับความผิดปกติของลำไส้ใหญ่

    เช่น ปวดระหว่างรอยต่อของลำไส้เล็กและลำไส้ใหญ่ ที่เรียกว่า illiocecal valve อาการปวดตรงบริเวณดังกล่าว สะท้อน 2 อาการผิดปกติคือ ทองผูก หรือปริมาณจุลินทรีย์ตัวร้ายในลำไส้มากเกินไป นอกจากนี้อาการปวดบริเวณ iliotibial band ที่อยู่บริเวณร่องกล้ามเนื้อต้นขาด้านข้าง ก็สะท้อนความไม่สมดุลของจุลินทรีย์ในลำไส้ด้วยเหมือนกัน อีกทั้งอาการท้องผูกสลับกับท้องเสีย ก็เป็นผลมาจากการที่จุลินทรีย์ตัวร้าย เข้าไปก่อกวนระบบการควบคุมปริมาณจุลินทรีย์ดีและร้ายในร่างกาย


  2. ปัญหาผิวหนัง

    ไม่ว่าจะผื่นคัน โรคเกี่ยวกับเชื้อรา หรือโรคเรื้อนกวาง (eczyma) ล้วนมาจากความไม่สมดุลของจุลินทรีย์ตัวร้ายและตัวดี โดยเฉพาะในส่วนของเชื้อรา ที่ชื่อว่า เชื้อแคนดีด้า (candida) เชื้อราชนิดนี้เมื่อมันเติบโตได้ดีในช่องท้อง สปอร์ของมันจะไปก่อกวนระบบต่าง ๆ รวมทั้งระบบภูมิคุ้มกัน เบื้องต้นแพทย์อาจวินิจฉัยผู้ป่วยโรคเรื้อนกวางว่า เป็นโรคภูมิแพ้ชนิดหนึ่ง แต่การศึกษาวิจัยครั้งใหม่ ๆ ที่เพิ่งทำในช่วง 10 ปีให้หลัง พบว่าผู้ป่วยที่โรคเรื้อนกวางนั้น มักมีปริมาณเชื้อราแคนดิด้าในช่องท้องมากกว่าปกติ


  3. ปัญหาตกขาว

    ปกติร่างกายเราปกป้องตัวเองจากโรคภัยต่าง ๆ ได้ดีอยู่แล้ว แต่หากภายในร่างกายเรามีเชื้อโรคแปลกปลอมอยู่ จนระบบภูมิคุ้มกันไม่สามารถทำงานเป็นปกติได้ ปัญหาสุขภาพย่อมเกิดขึ้น จากงานวิจัยเรื่อง Incidence of Vaginal Candidiasis in Leucorrhoea in Women Attending in OPD and Obstetrics Departmentที่ตีพิมพ์ในวารสาร International Journal of Biomedical and Advance Research ยืนยันว่า ผู้ป่วยที่มีปัญหาตกขาว ล้วนแล้วแต่มีปริมาณเชื้อราแคนดิด้าในช่องท้องมากเกินไปทั้งสิ้น

CHECK BY TESTS

ดร. ทอม โอ.ไบรอัน เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านไคโรแพคติก นักบำบัดโรคด้วยอาหาร ผู้เชี่ยวชาญด้านกลูเต้น เป็นอาจารย์สอนฟังก์ชั่นนอล เมดิซีน ในThe Institute for Functional Medicine and the National University of Health Sciencesและจากประสบการณ์การวินิจฉัยผู้ป่วยที่มีปริมาณจุลินทรีย์ตัวร้ายไม่สมดุล ดร.ทอม โอ.ไบรอัน ใช้วิธีการทดสอบน้ำลาย โดยมีขั้นตอนต่าง ๆ ดังนี้

  1. งดอาหารที่เป็นเดลี่โพรดักซ์และอาหารหมักดองเป็นเวลา 10 วัน
  2. วันที่ 11 หลังจากตื่นนอนตอนเช้า ก่อนแปรงฟัน ให้บ้วนน้ำลายใส่แก้ว
  3. ทิ้งน้ำลายในแก้วนั้นไว้ 6 วัน เพื่อดูการเปลี่ยนแปลง ถ้าเห็นว่าน้ำลายในแก้วมีการเปลี่ยนแปลงไปในลักษณะที่สะท้อนว่ามีสิ่งมีชีวิตอยู่ในน้ำลาย เช่น เปลี่ยนสี ดูเหมือนมีเส้นสายของสิ่งมีชีวิตอยู่ในน้ำลาย นั่นแปลว่า ช่องท้องของเรามีเชื้อราแคนดิด้ามากเกินไป

วิธีแก้ปัญหา จุลินทรีย์ในลำไส้ไม่สมดุล

  1. ดีท็อกซ์น้ำตาล

    ทั้งนี้อาจทำตามสูตรของนายแพทย์มาร์ค ไฮแมน ผู้เชียวชาญด้านอาหารบำบัดโรค ดังนี้

  • ตัดสินใจว่าจะเลิกของหวานแล้ว
  • หยุดกินของหวานและน้ำตาลทุกชนิด รวมทั้งผลไม้หวาน
  • หยุดดื่มเครื่องดื่มที่ให้พลังงาน (แม้ว่าความหวานจะมาจากหญ้าหวาน)
  • กินโปรตีนเพิ่ม
  • อย่ากินพืชที่ให้คาร์โบไฮเดรต เช่น พืชหัวต่าง ๆ
  • กินไขมันดีเพิ่ม
  • เลิกธัญพืชที่มีกลูเต้น
  • เข้านอนเร็วหน่อย ให้จำไว้ว่ายิ่งนอนดึกยิ่งหิว
  1. กินอาหารที่มีไฟเบอร์

  2. กินอาหารที่มีโพรไบโอติก

© 2024 FIRSTTHAINTP.COM